นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน อาจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ถ้ามีคนเถียงว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ นายกรัฐมนตรียึดติดกับข้อมูลจากสภาพัฒน์ที่ระบุว่าไตรมาสที่ 3 ปีนี้ จีดีพีของไทยขยายตัวแค่ 1.5% เป็นตัวเลขที่เลวร้ายสุดๆ ต้องเร่งกู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแจกคน 50 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ไม่ได้พูดแค่นั้น ยังขยายความต่อไปว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้จะโต 2.5% และยังจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าโครงสร้างเศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจจะโตประมาณ 3% เหมือนกับที่เป็นมาเกือบ 10 ปี ส่วน 5% เป็นเป้าหมายของรัฐบาล
เลขาธิการสภาพัฒน์ชี้แจงเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้า เพราะการส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่อง 4 เดือน ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 แต่การใช้จ่ายภาครัฐลดลง แต่การบริโภคภาคประชาชนขยายตัวต่อเนื่อง 7 ไตรมาส หมวดโรงแรม ร้านอาหารโตถึง 14.9% นักท่องเที่ยวเข้ามา 7.1 ล้านคน พร้อมรายได้ 248,000 ล้าน
เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้การใช้จ่าย และการลงทุนของภาครัฐทรุด เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ยังไม่ผ่านรัฐสภา อาจต้องรอไปถึงเดือนพฤษภาคม 2567 พร้อมกับเงินแจกดิจิทัล คาดว่าเศรษฐกิจปี 2566–2567 จะขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายภาคประชาชน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว คาดว่าจะมาถึง 40 ล้านคน
นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ยึดตัวเลข 1.5% การเติบโตของไตรมาส 3 เพราะมีองค์กรอื่นๆที่มองเศรษฐกิจไทยในแง่ดี เช่น ธนาคารโลก ปรับลดการเติบโตของจีดีพีไทยของปี 2566 ลดจาก 3.6% เป็น 3.4% ธนาคารแห่งประเทศไทยเชื่อว่าจีดีพีปี 2567 จะพุ่งขึ้นถึง 4.4 โดยรวมกับการกระตุ้นด้วย
แต่น่าแปลกใจ นายกรัฐมนตรีอ้างว่าเศรษฐกิจวิกฤติหนัก ต้องเร่งกู้เงินมาแจกโดยเร่งด่วน พูดมาหลายเดือนแล้ว แต่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแถลงว่า รัฐบาลยังไม่ได้ถามกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการว่า สามารถกู้เงินได้หรือไม่ ถ้าทำได้ต้องร่าง พ.ร.บ.กู้เงินเสนอสภา
แหล่งอ้างอิง: https://www.thairath.co.th/